รีวิวการเคลือบแก้วด้วยตัวเอง By Diamond Class
posted on 04 Mar 2014 15:52 by carcare in Car-Care-Outside
พอดีผมนั้นไปเจอรีวิวเคลือบแก้วทำเองมา ทีนี้ผมจะนำลองมาให้เพื่อนๆอ่านกันครับ ว่าการเคลือบแก้วด้วยตัวเองนั้น สามารถทำได้เองหรือไม่ และมีวิธีการทำ และข้อดีอย่างไรบ้าง
สวัสดีครับ ก่อนอื่นขออนุญาติแอดมินโพสการรีวิวลงที่ห้องนี้ เพราะผมหาห้องที่เกี่ยวกับล้างรถไม่พบอ่ะครับ หากแอดมินพบว่าไม่เหมาะสมสามารถย้ายกระทู้ได้นะครับ พอดีผมได้มีโอกาสได้ใช้ผลิตภัณฑ์ตัวนึง เลยอยากจะมารีวิวให้เพื่อนๆพี่ๆได้ชมกันครับ
เริ่มที่ผมไม่ค่อยจะมีเวลาดูแลรักษาสีรถเท่าไรนัก อันเนื่องมาจากเวลาและสถานที่ไม่ค่อยเอื้ออำนวย นานๆทีผมถึงเอารถออกไปล้างที่ Car Care บ้าง ดังนั้นผมจึงสนใจศึกษาวิธีที่จะดูแลรักษาสีรถให้อยู่กับเราไปนานๆโดยที่ไม่ต้องไปวุ่นวายเคลือบสีอะไรมากนัก (พูดง่ายๆขี้เกียจนั่นเอง 555) ผมจึงได้เริ่มศึกษาการเคลือบแก้วขึ้น เพราะเห็นโฆษณาตามเว็บไซต์หรือแมกกาซีนแต่งรถต่างๆ บอกว่า เคลือบทีเดียวอยู่ได้เป็นปี! ก็เลยคิดว่ามันทำได้ขนาดนั้นจริงหรอ เลยเริ่มดูน้ำยาเคลือบแก้วทั้งยี่ห้อจากยุโรปหรือญี่ปุ่นในรูปแบบ DIY ทำด้วยตัวเอง หรือการเข้ารับบริการตาม Car Care ชั้นนำแบบมืออาชีพกับแพคเกจรายปีราคาสูงๆ สังเกตดูข้อดี ความเหมาะสมในด้านของราคา ผลลัพธ์ รวมถึงประสิทธิภาพของแต่ละแบรนด์หรือแต่ละร้านมาเปรียบเทียบกัน จนได้มาเจอน้ำยาเคลือบแก้วของ Diamond Class จากญี่ปุ่นตัวที่จะรีวิวต่อไปนี้ จึงสนใจที่จะลองทำด้วยตัวเองก่อน เพราะคิดว่าไม่น่าจะยากอะไร และผลลัพธ์ก็น่าจะอยู่ในระดับที่พอใจได้กับราคาสินค้าประมาณนี้ เกริ่นมาซะยาวลองมาดูกันเลยครับ
สถานที่: 41 Was&Wax ที่เลือกไปที่นี่เพราะเจ้าของร้านเป็นเพื่อนผมเอง และคิดว่าจะนำรถไปเตรียมพื้นผิวก่อนที่จะทำเคลือบแก้วก่อนด้วย เพื่อให้ประสิทธิภาพมันดีที่สุด หากใครอยู่แถวบางบ่อ สมุทรปราการ แนะนำเลยครับ ล้างดี ราคาไม่แพง
วันที่ลงน้ำยา ควรเป็นวันที่อากาศปลอดโปร่ง และห้ามทำการลงน้ำยากลางแดดจัดหรือบริเวณที่มีฝุ่นเยอะนะครับ ควรทำในที่ร่ม เมื่อมาถึงร้านแล้วก็เตรียมสภาพพื้นผิวรถยนต์ให้พร้อมโดยนำรถเข้าล้าง ขัดเคลือบสี ลงดินน้ำมันเพื่อเก็บร่องรอยขนแมวต่างๆ ให้สภาพของสีรถสมบูรณ์ที่สุดก่อนลงน้ำยา (ขั้นตอนนี้ไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้นะครับ ต้องขออภัยด้วย)เมื่อเตรียมสภาพพื้นผิวเรียบร้อย เรามาเริ่มแกะกล่องเจ้าน้ำยาเคลือบแก้ว Diamond Class ตัวนี้กันเลย
แพคเกจดูสวยงามดีครับ มีกล่องสีขาวด้านในอีกชั้นนึง
เมื่อเปิดกล่องออกมาก็จะพบเจ้าน้ำยาเคลือบแก้วตัวนี้รอพร้อมอยู่ละ
เมื่อพลิกด้านหลังของกล่องก็จะพบกับฟองน้ำลงน้ำยาเคลือบแก้ว Applicator Sponge X 1 ชิ้น และจะมีแถมมาเพิ่มให้อีก 2 ชิ้น ต่างหาก รวมเป็น 3 ชิ้นครับ
ด้านล่างจะเป็นผ้าไมโครไฟเบอร์ 1 ผืน และบัตรรับประกันสินค้าโดยผู้ขายบอกว่า สามารถใช้เป็นบัตรส่วนลด 10% เมื่อซื้อผลิตภัณฑ์ที่ร้านเมจิกโกลด์
ไม่รอช้า เรามาเริ่มลุยกันเลย
เปิดจุ๊บออก เทน้ำยาลงฟองน้ำที่เตรียมไว้ โดยในครั้งแรกนั้น แนะนำให้เทน้ำยาในปริมาณที่มากพอสมควร โดยเทให้กระจายทั่วพิ้นผิวของฟองน้ำ
ทำการเคลือบลงบนพื้นผิวรถยนต์ โดยค่อยๆ ทำทีละชิ้นงานและแบ่งพื้นที่การเคลือบออกเป็นส่วนๆ (เพราะไม่งั้นเราจะเช็ดตามไม่ทันครับ) โดยลงน้ำบนพื้นผิวตามแนวยาว(ขึ้น-ลง) และแนวขวาง (ซ้าย-ขวา) สลับกันเหมือนตารางหมากรุก รอให้น้ำยาแห้ง ประมาณ 3- 5 นาที จากนั้นใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์เช็ดเคลียร์พื้นผิวออก โดยเช็ดไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อให้ชั้นฟิล์มเงาลื่น เรียบเนียนเสมอกัน สีของรถจะเงางามขึ้น
หลังจากที่เช็ดน้ำยาออกแล้ว
เริ่มลงน้ำยาส่วนที่เหลือของตัวรถ ตัวน้ำยาสามารถลงได้ทุกพื้นผิว ทั้งขอบคิ้วยาง, พลาสติก, กระจก รวมถึงล้อแมกซ์ด้วยครับ
ทิ้งให้น้ำยาเซ็ทตัวประมาณ 2-3 ชม. ก่อนนำรถออกไปใช้ เราลองมาดูผลลัพธ์และประสิทธิภาพของน้ำยาตัวนี้ครับ สิ่งที่ผมสัมผัสได้นอกจากสีรถที่เงาฉ่ำเป็นประกายคือ ความลื่นครับ ลื่นขึ้นจริงๆ และอีกอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ลองเอาสายยางฉีดน้ำลงบนฝากระโปรง น้ำจะไหลออกจากตัวรถเป็นแผ่นๆเลยครับ ไม่มีหยดน้ำเกาะบนตัวรถให้เห็น
สรุปการเคลือบแก้วครั้งนี้นะครับ ได้ด้านของราคานั้น ผมซื้อมาในราคา 2,290 บาท ในขนาด 60 cc คิดว่าสามารถเคลือบได้ 2-3 ครั้ง กับครูซของเรา โดยคิดว่าจะทำการเคลือบซ้ำอีกครั้งในอีก 6 เดือนข้างหน้าครับ ส่วนตัวคิดว่าเป็นการลงทุนที่ไม่แพง คุ้มค่าครับ ในราคาระดับนี้ เมื่อเทียบกับแพคเกจใน Car Care ทั่วไปหลายหมื่นบาท โดยประสิทธิภาพในเบื้องต้น อย่างที่บอกว่า ผิวมันลื่นขึ้น ฝุ่นหรือหยดน้ำมันไม่ค่อยเกาะตัวรถ ป้องกันรอยขนแมว ทำให้ล้างรถง่ายขึ้น แค่น้ำเปล่าก็สะอาดแล้ว แต่ในระยะยาวคงต้องดูกันต่อไปครับ ว่าน้ำยาตัวนี้จะยึดเกาะกับตัวรถได้นานแค่ไหน หากเราล้างรถบ่อยๆ (อ่อ แนะนำว่า หลังการเคลือบแก้ว ไม่ควรเคลือบสีด้วยน้ำยาที่มีส่วนประกอบของผงขัดนะครับ เพราะมันจะทำให้สารโพลิเมอร์ที่เป็นเนื้อฟิล์มยึดเกาะกับตัวรถอยู่ หลุดออกไป) ขอจบการรีวิวเพียงเท่านี้ครับ หากสงสัยประการใดสอบถามได้นะครับ ผมมาแนะนำสิ่งดีๆให้ทราบ ที่เหลือก็แล้วแต่การพิจารณาของแต่ละท่านนะครับ ขอบคุณมากครับผม
edit @ 4 Mar 2014 15:59:43 by Mr.Car Care
ที่มา: http://carcare.exteen.com/20140304/by-diamond-class